Friday, 31 March 2023

รีวิวหนัง "Babylon" จัดจ้าน 3 ชั่วโมงเน้น ๆ กับวงการบันเทิงฮอลลิวูดยุคบุกเบิก

มาถึงคิวของหนังที่อาจจะกล่าวว่า เป็นหนังที่เสียงค่อนข้างจะแตกอยู่ไม่น้อย ในกลุ่มหวังรางวัลในปีนี้ นี่เป็น “Babylon” ผลงานปัจจุบันของผู้กำกับหนุ่ม “เดเมียน ชาเซลล์” (จาก La La Land) ที่มีจุดเด่นตรง ที่เป็นหนังพีเรียดย้อนยุค กลับไปเมื่อร้อยปีก่อน ซ้ำยังอัดแน่นด้วยเนื้องาน ที่เต็มตาถึง 3 ชั่วโมง เทียบเท่ากับหนัง Avatar ภาคล่าสุดเลยทีเดียว แล้วตัวหนังมันมีข้อเด่นข้อเสียตรงกันบ้าง และก็ควรค่าแก่การนั่งแช่ ในโรงภาพยนต์นานขนาดนี้ไหม?

Babylon เป็นหนังพาย้อนกลับไปลอสแองเจลิส ในทศวรรษ 1920 เรื่องราวเกี่ยวกับความทะเยอทะยานเกินปกติ และก็พฤติกรรมสุดเหวี่ยงเกินพิกัด และถ่ายทอดเรื่องราวยุครุ่งเรือง แล้วก็การล่มสลายของหลากหลายตัวละคร ในช่วงยุคที่ความเสื่อมโทรม รวมทั้งความเลวทรามช่วงฮอลลิวูดยุคบุกเบิกเริ่มต้น ที่เต็มไปด้วยแสงสีอันน่าคลั่งไคล้ รวมทั้งภาพมายาที่ลวงหลอก

Babylon ย้อนยุค

Babylon นี่นับได้ว่าเป็นชิ้นงานภูมิใจ เสนอของเดเมียน ชาเซลล์

เขาเลยแหละ เนื่องจากว่าเขาพยายามปลุกปั้นอยู่นานหลายปี และก็ยังเป็นโปรเจกต์ หนังที่หลาย ๆ ค่ายต่างจ้องแย่งเอามาเป็นเจ้าของด้วย แน่นอน ว่าเขายังคงรับหน้าที่ดูแลงานกำกับ และเขียนบทหนังด้วยตัวเอง ซึ่ง Babylonก็ยังเต็มไปด้วยลายเซ็นชัด ๆ ในลีลาการทำหนังรูปแบบของเขา งานภาพ งานเสียง และเซ็ตติ้งต่าง ๆ ทำออกมาได้เป็นมืออาชีพ และระรัวใส่ผู้ชมราวกับดีดดิ้นอยู่ ในปาร์ตี้ตลอดเวลา

ความยาวของหนังที่มีถึง 3 ชั่วโมง 9 นาที ของ Babylonนั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคใด ๆเลย ต้องขอบคุณที่หนังมีจังหวะ การเล่าเรื่องที่บันเทิงและสนุกไปได้ด้วยดี มาเอื้อนกล่าวถึงจุดที่น่าชื่นชมกันก่อน งานดีไซน์โปรดักชั่นเรื่องนี้ ต้องยกนิ้วให้ เปรียบเทียบสเกลก็แทบเป็นหนังฟอร์มใหญ่ ระดับทุนร้อยล้านขึ้นไปได้เลย

เนื่องจากว่าหนังมีรายละเอียดต่าง ๆ ในหนังเพียบ งานโปรดักชั่นส่วนใหญ่ที่ต้องเก็บรายละเอียดของยุคสมัยในช่วงยุคปี 1920s พร้อมทั้งไล่ไทม์ไลน์ไปตามสมัย การออกแบบฉากรวมทั้งศิลป์ต่าง ๆ ของ Babylonทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ สิ่งที่ถ่ายทอดออกมา ทำให้ผู้ชมละสายตา ไปกับแวดล้อมในหนังมิได้เลย ถึงแม้จังหวะลีลาของหนังจะฉับไว กระทั่งบางทีแทบมองไม่ทันบ้างก็ตาม แต่ว่าส่วนประกอบส่วนนี้ถือว่าสะดุดตาดี

หนังที่น่าดู

อีกสิ่งที่จะต้องตบมือให้ดัง ๆ ก็คืองานดนตรีประกอบภาพยนตร์

ที่โดยเจ้าเดิม “จัสสิต เฮอร์วิตซ์” ที่เคยทำเพลงให้กับ La La Land มาบรรเลงแล้วก็จุดประกายไฟอันร้อนแรงให้กับซาวน์หนังเรื่องนี้ ที่หลัง ๆ ยังคงใส่ท่วงทำนอง เครื่องเป่าสไตล์แจ๊สเอาไว้ ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์เช่นเคย ถ้าเกิดเป็นแฟนนักประพันธ์ท่านนี้

ก็จะสัมผัสได้ถึงลายเซ็น ในชิ้นงานของเขาได้ดี รวมทั้งเพลงประกอบต่าง ๆ ก็ดูส่งเสริมอารมณ์ของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งสุข ทั้งเศร้า อีกทั้งปาร์ตี้ อีกทั้งโศกนากฏกรรม ที่จัดว่ามอบซาวน์รสเลิศ ที่แสนจัดจ้าน

ในขณะที่ส่วนประกอบเสื้อผ้าหน้าผม และก็การแต่งหน้าของ Babylonเรื่องนี้ ที่ถือว่าก็ทำออกมาได้ออกจะดี เพียงแต่ว่ายังไม่ได้โดดเด่น เป็นที่สุดมากสักเท่าไรนัก

เพราะว่าความละเอียดในเรื่องชุดและก็การออกแบบให้กับตัวละคนในหนังนั้น ยังแอบสัมผัสได้ถึงความร่วมสมัยอยู่เบา ๆ ไม่ได้เน้นเก็บความเฉพาะของยุค ตามเส้นเรื่องสักเท่าไหร่ แต่ว่ายังโชคดีที่จุดนี้ ถูกมองข้ามไป เพราะเหตุว่างานโปรดักชั่นดีไซน์ ที่ตื่นตาแล้วก็ตรึงใจได้ดี

ส่วนบทหนังและก็การเล่าเรื่องของ Babylon บางทีอาจจะต้องยอมรับตรง ๆ ว่ายังไม่ค่อยน่าประทับใจถึงที่สุดนัก บางทีอาจด้วยเหตุว่าเป็นว่ารายละเอียด ที่ถูกใส่มาเยอะ รวมทั้งแน่นเกินไป แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงเจตนารมณ์ และก็จุดประสงค์ของ เดเมียน ชาเซลล์ ที่ต้องการคาระความคลาสสิก แล้วก็ต้นตำหรับ ของต้นกำเนิดแวดวงภาพยนตร์ฮอลลิวูด สิ่งที่เขาอยากจะสื่อสารออกมานั้น ถือว่าชัดเจน เพียงแต่ว่าเนื้อหา ที่นำมาละเลงในหนังเรื่องนี้ ค่อนข้างจะแน่นไปเสียหน่อย แม้ว่าจะยังรู้สึกชอบ แต่ก็ไม่ทราบว่า จะโฟกัสตรงไหนก่อนดี

หนัง3ชม.

ความจริงค่อนข้างจะรู้สึกขนลุก ไปกับบทสรุปในช่วงท้ายของหนัง

ที่เป็นการสรรเสริญความเป็น Cinematic ที่ตกทอดกันมานับร้อยปี ของวงการนี้ เพียงแต่ก็แอบรู้เหมือนว่าผู้ผลิตหาจุดลง ที่งดงามได้ไม่เจอ ฉากสรุปท้ายเรื่องของหนังเรื่องนี้ ก็เลยมีทั้งอารมณ์ตื้นตัน แล้วก็มึนงงไปพร้อมเพียงกัน เพราะเหตุว่าไม่คิดว่า จะเลือกทางลงให้กับเช่นนี้ ทั้งที่คงจะมีสักทาง ที่จบได้คมคาย รวมทั้งสวยงามมากยิ่งกว่านี้

ทางด้านการแสดงของทีมนักแสดง ก็ถือว่าพวกเขาทำออกมาได้ดี ตามมาตรฐานเลย “แบรด พิตต์” ที่พระเอกที่มาช่วยประคองทั้งเรื่องเอาไว้ ได้ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขา “มาร์โกต์ ร็อบบี้” ใส่เสน่ห์ไปเต็ม ๆกับบทที่เธอได้รับ และก็ยังเล่นไปสุดทางกับตัวละครนี้

ถึงแม้บางทีอาจดูเป็นบทซ้ำ ๆ ไปหน่อย ช่วงเวลาที่ “ดิเอโก คัลวา” เป็นหนุ่มหล่อลาตินหน้าใหม่ ที่นับว่าโปรยเสน่ห์ แล้วก็เข้ากับบท ที่ได้รับอย่างดี ถึงการแสดงของเขายังต้องลับคมไปอีก

ตกลงว่าโดยภาพรวมแล้วนั้น ก็แอบรู้สึกก้ำ ๆ กึ้ง ๆ กับหนังเรื่องนี้อยู่เช่นกัน แต่อาจจะเอนเอียง ไปในทิศทางที่ค่อนข้างชอบมากยิ่งกว่า ด้วยส่วนประกอบของงานสร้างที่จัดจ้าน แล้วก็บันเทิงได้ถึงกึ๋น

แม้ว่ายังมีบางส่วนประกอบ ที่ยังไม่ประทับใจถึงที่สุด และรู้สึกว่าคงจะทำได้ดีกว่านี้ได้อยู่ก็ตาม แต่ว่านี่ก็คือหนัง ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่จัดจ้านตลอด 3 ชั่วโมง ที่อัดแน่น ด้วยความเนื้อใน ที่เต็มน้ำเต็มเนื้อ บางทีก็แทบจะล้นทะลักออกมา

Babylon บางครั้งอาจจะไม่ใช่หนังที่ทำออกมา ได้เหมาะกับผู้ชมทุกกลุ่ม ด้วยความยาวมาก ๆ ที่ไม่ใช่คนดูหนังยุคนี้ จะหาเปิดดูกันแน่ๆ แต่ว่าหนังก็เด่นดีที่งานสร้าง ยิ่งถ้าหากว่าเป็นผู้ที่มีความสนใจ และก็คลุกคลีอยู่กับวงการสายหนังด้วยแรง หนังเรื่องนี้ คือการสดุดีวงการภาพยนตร์รสเลิศเรื่องหนึ่ง ย้อนกลับไปถวิลยุคเก่า ๆ ที่แทบจะลืมกันไปหมดแล้ว ถึงแม้การร้อยเรียงจะยังไม่คมคาย ถึงที่สุดนัก แต่รวม ๆ ก็นับว่าจัดจ้านใช้ได้ ด้วยความดีความชอบจากงานสร้างล้วน ๆ เลย